มหาวิทยาลัยในประเทศไทย

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

บะหมี่สำเร็จรูปไม่ควรเกินวันละ 1 ซอง

แนะกินบะหมี่อย่างปลอดภัย ไม่กินเกินวันละ 1 ซองควรจะใส่ไข่ ผัก หรือเนื้อสัตว์ลงไปด้วย เพื่อเพิ่มสารอาหารและป้องกันไม่ให้ร่างกายได้รับโซเดียมมากเกินไป              นางสาวทัศนีย์ แน่นอุดร บรรณาธิการนิตยสารฉลาดซื้อ ให้ความเห็นต่อการบริโภคบะหมี่สำเร็จรูปว่า เคยทำการสำรวจปริมาณโซเดียมหรือเกลือ อันตรายที่ซ่อนในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปว่า จากการเก็บตัวอย่าง จำนวน 32 ตัวอย่าง ฉบับที่ 68 มาทดสอบโดยสถาบันอาหาร เพื่อหาปริมาณโซเดียมที่มีอยู่ในเครื่องปรุงรส พบว่า บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปส่วนใหญ่มีปริมาณโซเดียมร้อยละ 50-100 ของปริมาณที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน และมีบางยี่ห้อที่ทำขนาดใหญ่กว่าปกติที่เรียกว่าบิ๊กแพ็ค พบว่ามีโซเดียมสูงถึงร้อยละ 112 ของปริมาณที่แนะนำให้บริโภคแต่ละวัน

             
“การบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากกว่า 1 ซองต่อวัน โดยใช้เครื่องปรุงทั้งซอง จะทำให้ได้รับโซเดียมมากเกินไป เพราะแต่ละวันจะได้รับปริมาณโซเดียมจากเครื่องปรุงต่างๆ เช่น ซีอิ๊ว น้ำปลา ซอส เกลือ สูงอยู่แล้ว ที่ผ่านมา เคยมีการวิจัยถึงปริมาณการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของคนไทยในปี 2548 พบว่า มีมากถึง 120,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 9,500 ล้านบาท หากจะเทียบกับซองบะหมี่มาตรฐานที่บรรจุซองละ 60 กรัม หมายความว่า คนไทยบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปถึง 2,000 ล้านซองต่อปี โดยปัจจัยสนับสนุนให้คนไทยบริโภคบะหมี่สำเร็จรูปจำนวนมาก น่าจะเป็นเพราะสินค้านี้มีหลายรส หลายระดับราคาให้เลือกปรุงได้สะดวกรวดเร็ว”

              ปริมาณโซเดียมที่แนะนำไว้ในบัญชีสารอาหาร ที่ควรบริโภคในแต่ละวันสำหรับคนไทยอยู่ที่ 2,400 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ขณะนี้การบริโภคเกินกว่ากำหนด และถือเป็นความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งทำให้เป็นโรคหัวใจ เพราะฉะนั้น จึงมีการทบทวนปริมาณโซเดียมที่ควรบริโภคต่อวัน โดยปริมาณใหม่ที่แนะนำให้บริโภคจะอยู่ที่ ผู้ชายควรบริโภค 475- 1,475 มิลลิกรัม ผู้หญิงควรอยู่ที่ 400-1,200 มิลลิกรัม

พร้อมแนะนำการบริโภคบะหมี่สำเร็จรูปว่าควรจะใส่ไข่ ผัก หรือเนื้อสัตว์ลงไปด้วย เพื่อเพิ่มสารอาหารและป้องกันไม่ให้ร่างกายได้รับโซเดียมมากเกินไป ไม่ควรทานบะหมี่สำเร็จรูปดิบๆ เพราะเส้นบะหมี่จะไปพองตัวในกระเพาะ อาจทำให้ท้องอืดได้ และไม่ควรทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากกว่าวันละ 1 ซอง เพื่อป้องกันโรคที่เกิดกับไตและโรคความดันโลหิต

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554

ความผิดพลาด ในการเลือกคู่ ที่พบกันบ่อย ๆ

เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะไม่ทำผิดพลาดในเรื่องนี้อีก ลองใช้ความผิดพลาดที่พบกันบ่อยเหล่านี้เป็นแนวทางในยามที่คบหาใครสักคน1. รูปลักษณ์           กี่ครั้งกี่หนที่คุณแทบละลายเพราะผู้ชายรูปหล่อหน้าตาดี บ่อยเลยใช่มั้ยล่ะ ทำไมคุณถึงตกหลุมพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ทำไมคุณถึงได้วางเรื่องรักของคุณไว้บนพื้นฐานของหน้าตาล่ะ เราแน่ใจว่าสิ่งที่คุณต้องการจากคู่รักนั้นมากกว่าหน้าตาดี ๆ ของพวกเขาแน่ และถ้าพวกเขาไม่ได้เป็นนายแบบหรือดารา รูปร่างหน้าตาไม่ได้ช่วยให้คุณมีเงินทองหรือความสุขได้หรอกนะ  2. ความสูง
          เราเข้าใจว่าผู้หญิงชอบผู้ชายตัวสูง ๆ เพราะรู้สึกว่าได้รับการปกป้องคุ้มครองจากเขา อย่างไรก็ตาม ความสูงไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ใด ๆ เลยว่าเขาจะปฏิบัติต่อคุณอย่างไร คุณคาดหวังจะได้อะไรจากผู้ชายรูปร่างสูง ที่ชายรูปร่างเล็กหรือเตี้ยให้คุณไม่ได้กันล่ะ เราบอกคุณได้เลยจากประสบการณ์ว่า ความสูงของผู้ชายไม่เป็นตัวกำหนดหัวใจของเขา และหัวใจต่างหากที่บอกว่าผู้ชายเป็นคนดีแค่ไหนและเขาจะปฏิบัติต่อคุณเพียงใด

 3. ศักยภาพ

         อย่าเขาใจเราผิดไป คนที่ศักยภาพในตัวเต็มเปี่ยมถือว่าเป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่เรากำลังพูดถึงก็คือ คุณไม่ควรเลือกคนคนหนึ่งจากศักยภาพของเขาแต่เพียงอย่างเดียว ศักยภาพเป็นเพียงคุณสมบัติอย่างหนึ่งของคนเราเท่านั้น และไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเป็นคนดี คุณจำเป็นต้องแยกแยะด้วยว่าเขามีคุณสมบัติอื่นใดอีกด้วยบ้าง มันเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะแยกแยะว่าคนคนนั้นตรงกับความต้องการของคุณหรือเปล่า ถ้าคุณไม่รู้ว่าอะไรที่คุณต้องการ คุณก็มีปัญหาใหญ่แล้วล่ะ

  
 4. ความมีอารมณ์ขัน

            การมีคนซึ่งมีอารมณ์ขันและสนุกสนานอยู่ด้วยทำให้ชีวิตของคุณดูจะง่าย ๆ สบาย ๆ ขึ้น การหัวเราะเป็นการเบี่ยงเบนตัวเองจากความวิตกกังวลและปัญหาต่าง ๆ ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อคู่รักของคุณทำตลกมากเกินไป และไม่อาจจะจริงจังกับเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตได้ มันก็กลายเป็นปัญหา ซึ่งคุณไม่ต้องการอย่างแน่นอน การเน้นที่คุณสมบัติในเรื่องนี้มากเกินไป ในเมื่อคุณต้องการมากกว่านั้น จะนำคุณไปสู่เส้นทางที่เต็มไปด้วยปัญหาและปวดเศียรเวียนเกล้า
   5. ความตื่นเต้น
 ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจที่คุณจะถูกดึงดูดเข้าหาคนที่ดูน่าตื่นเต้น สนุกสนาน และมีชีวิตอยู่บนความเสี่ยงความพุ่งพล่านที่คุณรู้สึกเมื่ออยู่กับพวกเขา เป็นความรู้สึกที่แสนวิเศษ แต่คุณจะสามารถใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นเช่นนั้นได้นานเท่าไหร่กันล่ะ การแสวงหาคนที่จะให้ความตื่นเต้นแก่คุณทุกวัน อาจนำคุณไปสู่เส้นทางชีวิตที่ไร้ความรับผิดชอบ
 
ลองนึกย้อนกลับไปถึงคนในสมัยเรียนที่ใช้ชีวิตน่าตื่นเต้นดูสิ เดี๋ยวนี้พวกเขาเป็นยังไงกันบ้าง เราแน่ใจว่าสิ่งที่พวกเขาเป็นอยู่คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักหรอก มันเป็นเรื่องสำคัญที่คุณต้องรับรู้ว่า คุณสมบัติบางอย่างของผู้ชายไม่เพียงพอที่จะสร้างชีวิตรักที่ทีความสุข ถ้าคุณสงสัยว่าทำไมคุณไม่มีความสุขกับชีวิตคู่ของคุณ ลองมองดูเงื่อนไขที่คุณใช้เลือกคู่ของคุณดูสิ


ดึงเมนู 'พริก' พิชิตความอยาก

ใครที่มีปัญหาเรื่องควบคุมน้ำหนักไม่ให้มากเกินความพอดีอาจแก้ไขได้ด้วย "พริก" โดยนักวิจัยมหาวิทยาลัยเพอร์ดู ในรัฐอินดีแอนาของสหรัฐ ศึกษาพบว่าสารแคปไซซินที่ทำให้พริกมีคุณสมบัติเผ็ดร้อนสามารถลดความหิว ควบคุมความอยากอาหาร และเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญพลังงานในการศึกษานักวิจัยให้อาสาสมัครที่มีน้ำหนักตัวปรกติ 25 คน บริโภคพริกชี้ฟ้าครึ่งช้อนชา ซึ่งเป็นปริมาณที่คนส่วนใหญ่บริโภคได้ เป็นเวลา 6 สัปดาห์ โดยให้รับประทานทั้งในรูปของพริกสดและพริกแห้ง ต่างจากการศึกษาอื่นๆ ที่มักใช้แคปซูล
ผลที่ได้พบว่า เมื่อบริโภคพริกสีแดงช่วยระงับความอยากอาหารและเผาผลาญพลังงานได้ดีขึ้นหลังมื้ออาหาร เนื่องจากสารแคปไซซินช่วยเพิ่มอุณหภูมิร่างกายและเผาผลาญพลังงานผ่านการใช้พลังงานตามธรรมชาติ แม้ในกลุ่มคนที่ไม่ได้บริโภคพริกเป็นประจำยังมีความรู้สึกหิวหรือความอยากอาหารลดลง โดยเฉพาะอาหารที่มีรสหวาน เค็ม และมัน
ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงอาหารเพียงเล็กน้อยก็สามารถช่วยคุมน้ำหนักตัวได้ ทั้งยังเป็นวิธีที่ได้ประโยชน์อย่างยั่งยืนหากทำได้ควบคู่ไปกับการบริโภคอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกาย


วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554

“กาแฟ”ดื่มดีได้...ดื่มร้ายเสียประโยชน์

มีคำถามจากคอกาแฟเข้ามา โดยรู้สึกว่าตัวเองติดกาแฟมาก ช่วงแรกดื่มเพียงวันละ 1 แก้ว เพื่อแก้ง่วงระหว่างทำงาน แต่ระยะหลังมักดื่มมากกว่า 4 แก้วต่อวัน จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพในอนาคตหรือไม่ อย่างไร

สำหรับใครหลาย ๆ คน “กาแฟ” อาจเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว ต้องดื่มทุกวัน วันละหลาย ๆ แก้ว ดื่มแล้วหูตาสว่าง สดชื่น ความคิดแจ่มใส
แต่ก็มีอีกหลายคนที่รู้สึกกังวลเกี่ยวกับ “คาเฟอีน” ที่เกรงจะก่อให้เกิดโทษต่อร่างกาย
ปัจจุบันมีผลวิจัยด้านการแพทย์ วิทยาศาสตร์ และยา ในต่างประเทศจำนวนมาก พบว่า การดื่มกาแฟในปริมาณที่เหมาะสมนั้น ปลอดภัย และส่งผลดีต่อสุขภาพได้ หากดื่มอย่างถูกต้อง

โดยผู้ที่ดื่มกาแฟไม่ควรดื่มเกิน 2 แก้วต่อวัน การได้รับปริมาณคาเฟอีนในระดับหนึ่ง จะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม และโรคอัลไซเมอร์ นอกจากนี้ สารต้านอนุมูลอิสระในกาแฟยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคตับแข็ง และมะเร็งในเซลล์ตับ

คาเฟอีนในกาแฟยังสามารถเพิ่มความเร็วในการเผาผลาญไขมัน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานประเภทที่ 2 โรคอ้วน มีส่วนช่วยเพิ่มความจำระยะสั้น และเพิ่มไอคิวด้วย

อย่างไรก็ตาม ไม่ควรรับ “คาเฟอีน” อย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อนนอน รวมถึงผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะกาแฟมีผลต่อการเพิ่มความดันโลหิต

แม้ “กาแฟ” จะมี “ข้อดี” ที่เป็นเหตุผลให้คนส่วนใหญ่นิยมดื่ม แต่การบริโภคคาเฟอีนในปริมาณเข้มข้นอย่างยิ่ง และมากเกินไป ก็เปรียบเสมือนยาพิษได้เช่นกัน ดังนั้น จึงควรดื่มให้เป็น.

วิธีรักษาหุ่นสวยโดยไม่ต้องอดอาหาร

การวิจัยจากหลากหลายสถาบันแสดงให้เห็นว่าการอดมื้อกินมื้อหรือการโหมอดอาหารไม่ใช่ทางเลือกที่ดีถ้าคุณอยากจะควบคุมน้ำหนัก เพราะทันทีที่ร่างกายขาดอาหารก็จะส่งผลไปที่สมองและจะทำให้เรารู้สึกว่าครั้งต่อไปต้องรับประทานให้มากขึ้น ซึ่งผลกระทบเหล่านี้จะทำลายแผนการดีๆที่คุณวางไว้เพื่อรักษาหุ่นสวยของคุณ ลองพบกับวิธีใหม่ๆที่ทำให้คุณรักษารูปร่างในฝันไว้ได้ตลอดไป    1. รับประทานอาหารเช้าที่ดี มีประโยชน์
        อาหารเช้ามีบทบาทสำคัญในการเร่งอัตราการเผาผลาญของร่างกาย ที่ทำงานอย่างช้าๆมาตลอดคืน ดังนั้นอาหารเช้าจึงเป็นมื้ออาหารที่สำคัญที่สุดของวัน การวิจัยต่อเนื่องครั้งหนึ่งพบว่าในระยะเวลาห้าปีกลุ่มผู้หญิงและผู้ชายที่รับประทานอาหารเช้าเป็นมื้อใหญ่ที่สุดเป็นกลุ่มคนที่มีน้ำหนักตัวน้อยที่สุด แม้ว่าปริมาณการทานอาหารต่อวันของคนกลุ่มนี้จะมากกว่ากลุ่มอื่น

        เราควรรับประทานอาหารเช้าในปริมาณเพียงพอที่จะทำให้รู้สึกอิ่มจนถึงเที่ยง เคล็ดลับก็คือคุณควรเพิ่มอาหารประเภทโปรตีนในมื้อเช้าของคุณ เช่น ไข่หรือเบคอน (หรือทั้งสองอย่าง) เพื่อให้คุณมีพลังงานไว้ใช้ตลอดช่วงเช้าและไม่ทำให้คุณรู้สึกหิวบ่อยๆตลอดทั้งวัน
    2. เพิ่มปริมาณโปรตีนในมื้อกลางวัน
        อาหารกลางวันคืออาหารมื้อหลักของวัน ดังนั้นอย่าเสียวลาไปกินแซนวิชชิ้นเล็กๆเลย ทานอาหารกลางวันให้เต็มที่เพราะช่วงสิบโมงเช้าถึงบ่ายสองโมงเป็นช่วงเวลาที่ระบบการเผาผลาญพลังงานของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด อาหารที่ทานเข้าไปจึงถูกย่อยและดูดซึมได้ดีที่สุด
    3. ไม่ทานอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตหลังห้าโมงเย็น
        เป็นที่รู้กันว่าระบบเผาผลาญพลังงานในร่างกายจะทำงานช้าลงในเวลาเย็นและร่างกายจะเอาพลังงานที่ไม่ได้ถูกเผาผลาญไปเก็บไว้เป็นไขมันส่วนเกิน สาวๆบางคนบอกว่าการรักษารูปร่างเป็นไปได้ง่ายขึ้น ถ้าพวกเธองดอาหารจำพวกแป้งในมื้อค่ำ ดังนั้นถ้าคุณไม่รับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงตอนเย็นก็เท่ากับว่าคุณได้ควบคุมปริมาณพลังงานที่ร่างกายได้รับในแต่ละวันไปในตัว คุณก็จะมีสัดส่วนที่สวยงามได้โดยไม่ต้องพยายามอะไรมาก
    4. ทานอาหารมื้อเย็นให้น้อยลง
         มื้อเย็นควรเป็นมื้ออาหารที่เล็กที่สุดของวัน แม้โดยปกติแล้วมื้อเย็นเป็นมื้อที่คนทั่วไปมีแนวโน้มที่จะรับประทานอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูงเช่นเค้ก หรือคุ้กกี้เพราะความเบื่อหรือเหนื่อย ดังนั้นการงดอาหารจำพวกแป้งจะทำให้เราเว้นของพวกนี้ไปโดยอัตโนมัติ ในทางตรงกันข้าคุณควรทานอาหารที่มีโปรตีนสูงให้มากขึ้นเพื่อให้รู้สึกอิ่มท้อง

          สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คุณไม่ควรทานอาหารมื้อค่ำช้าเกินไปเพื่อให้ร่างกายมีเวลาย่อยอาหารก่อนเข้านอน คุณจะนอนหลับสนิทและรู้สึกสดชื่นยามตื่นตอนเช้า

คิดเลขในใจช่วยป้องกันสมองเสื่อม

นพ.สุวินัย บุษราคัมวงษ์ แพทย์ด้านอายุรกรรมสมอง สถานพยาบาลกล้วยน้ำไท 2 เปิดเผยว่า “การคิดเลขในใจช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อมเนื่องจากทำให้สมองได้ออกกำลังและเพิ่มการสื่อสัญญาณประสาทในสมอง”
งานวิจัยในปัจจุบันพบว่า เซลล์ประสาทจะถูกผลิตสร้างขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ แต่จะเสื่อมสภาพลงถ้าไม่มีการใช้งาน ถ้าเราทำกิจกรรมใดๆ ซ้ำๆ บ่อยๆ ทำให้เซลล์สมองส่วนนั้นถูกกระตุ้นบ่อยๆ เซลล์สมองส่วนนั้นจะแข็งแรง และไม่เสื่อมสภาพลงไปง่ายๆ
โรคสมองเสื่อมอาจเกิดขึ้นได้ในคนทุกวัย แต่พบบ่อยในผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ในประเทศไทยยังไม่มีการสำรวจอย่างเป็นทางการแต่คาดว่ามีผู้ป่วยโรคนี้ประมาณ 200,000 – 300,000 คน มีงานวิจัยในประเทศตะวันตกพบว่า คนอายุ 65 ปีป่วยด้วยโรคสมองเสื่อม 1 เปอร์เซ็นต์ และเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในทุกๆ 5 ปีที่อายุเพิ่มขึ้น ผู้ที่มีอายุ 86 ปีขึ้นไปพบว่าป่วยด้วยโรคสมองเสื่อม 32 เปอร์เซ็นต์
โดยผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมจะสูญเสียเซลล์ประสาทเร็วกว่าปกติในระดับที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิต ทั้งเรื่องความจำ การควบคุมอารมณ์ ไม่สามารถแยกถูกผิด ความฉลาด และการสั่งงานของสมอง เช่น การเปิดแก๊สหุงต้มทิ้งไว้เพราะลืม หรือเห็นแก๊สเปิดทิ้งไว้ก็ไม่ปิด เพราะนึกไม่ออกว่าจะปิดอย่างไร และไม่คิดว่าจะเกิดอันตรายขึ้นได้ ฯลฯ
ซึ่งในคนปกติจะมีเซลล์สมองอยู่กว่า 1 ล้านล้านเซลล์ ซึ่งแต่ละเซลล์อาจเชื่อมโยงกับเซลล์ประสาทอื่นๆ อีกประมาณ 80,000 – 100,000 เซลล์
การคิดเลขในใจทุกวัน วันละหลายๆ ครั้ง จะกระตุ้นให้เกิดการออกกำลังกายของสมอง (Brain Exercise) กระตุ้นเซลล์สมองให้สร้างแขนงประสาทไปเชื่อมต่อกับเซลล์สมองส่วนอื่นๆ เพิ่มเส้นใยประสาทของเซลล์ประสาท (Neurons) ให้มีการเชื่อมโยงถึงกันมากขึ้น และยังอาจเพิ่มปริมาณสารเคมีที่บรรจุอยู่ประสาทให้เพิ่มมากขึ้น ทำให้สามารถใช้สมองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อมเรามักจะเห็นพ่อค้าแม่ค้าสูงอายุคิดค่าอาหาร และเงินทอนได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
ฝึกคิดเลขในใจ         คิดค่าของที่ซื้อเวลาไปจ่ายตลาด คิดค่าอาหาร และเงินทอนเวลาไปทานข้าวนอกบ้าน คิดรายรับในแต่ละเดือน คิดค่าใช้จ่ายในบ้าน คิดตัวเลขรายรับ รายจ่ายเงินในบัญชีธนาคารแทนการกดเครื่องคิดเลข ฯลฯ ซึ่งต้องใช้ทั้งการบวก ลบ คูณ หารในบางครั้ง ช่วงแรกควรเริ่มจากเลข 2 หลักก่อนโดยไม่ต้องใช้นิ้วมือมาช่วยนับ หลังจากนั้นค่อยเพิ่มจำนวน เมื่อเริ่มคล่องขึ้นแล้วจึงเริ่มลบตัวเลขแบบง่ายๆ การคูณควรเริ่มจากการคูณเลขง่ายๆ จากเลข 1 – 12 ก่อน

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554

ทายนิสัยจากการจับปากกา

เมื่อจับปากกา-ดินสอ เขียนหนังสือหรือจดหมาย ก็แตกต่างกันไปตามแต่ละคน ทั้งนี้ได้มีผู้วิเคราะห์เอาไว้ว่า ท่าทางการจับปากกา-ดินสอ ของคนเรานั้น สามารถบอกได้ถึงนิสัยใจคอของแต่ละคนอีกด้วย
คนที่ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้จับปากกา-ดินสอ
มักเป็นคนเรียบ ๆ ง่าย ๆ มีบุคลิกธรรมดา พบเจอได้ทั่วไป แต่ขยันขันแข็งเป็นคนทำมาหากิน ไม่ใช่พวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฟ่อ แต่ข้อเสียก็คือขาดความละเอียด ลึกซึ้ง รอบคอบ และไม่สนใจในเรื่องที่ละเอียดอ่อนนัก ไร้อารมณ์อันสุนทรีย์ แต่เป็นคนที่รักบ้านรักครอบครัว และมักเป็นที่พึ่งพาของคนอื่น ๆ อยู่เสมอ

คีบปากกา-ดินสอ ด้วยนิ้วชี้-กลาง
ท่านี้เป็นท่าที่เหมือนกับคนทั่วไปใช้คีบบุหรี่นั่นเอง และคนที่มีท่าทางถือปากกา-ดินสอ เช่นนี้อุปนิสัยโดยทั่วไปมักเป็นคนที่มีความจริงใจต่อคนอื่น เห็นอกเห็นใจคนง่าย ชอบทำงานเพื่ออุดมการณ์ของตนเองมากกว่าเพื่อเงิน บุคลิกภายนอกจะเหมือนคนไม่มั่นใจในตัวเอง ดูท่าทางเป็นคนลังเล ตัดสินใจอะไรยาก แต่จริง ๆ แล้วเป็นคนที่มีจุดยืนของตัวเองมั่นคงมากทีเดียว

สอดปากกา-ดินสอ ไว้หว่างนิ้วกลาง-นาง
ลักษณะของคนที่จับปากกา-ดินสอตามหัวข้อข้างต้น คือ ชอบสอดปากกา-ดินสอไว้ระหว่างนิ้วกลางและนิ้วนาง นิสัยโดยรวมมักเป็นคนค่อนข้าง นิสัยโดยรวมมักเป็นคนค่อนข้างตะหนี่ขี้เหนียว รู้จักและมองเห็นคุณค่าของเงิน และยังเป็นคนทำงานหนักและทำอย่างจริงจัง เพื่อครอบครัวของตน รักญาติพี่น้อง เป็นคนมีนิสัยจู้จี้จุกจิกน่ารำคาญอยู่สักหน่อย ชอบคาดหวังคนอื่นว่าจะต้องเหมือนตัวเอง และจะไม่แคร์ใครเลยถ้าไม่มีความสำคัญต่อชีวิต

จับปากกา-ดินสอชิดส่วนล่างสุด คนที่จับปากกา-ดินสอซะชิดจนเกือบถึงส่วนล่างหรือใกล้กับตัวปากกา-ดินสอนั้น มักเป็นคนเปลี่ยนใจง่าย ประเดี๋ยวชอบแบบนี้ แล้วก็หันมาชอบอีกอย่างแทนภายในไม่กี่นาที เป็นคนไม่ค่อยอยู่นิ่ง กระตือรือร้น และมีความเป็นมิตร แต่จะไม่ชอบทำอะไรตามกำหนดเป๊ะ ๆ หรือทำงานที่ที่ซ้ำซาก จำเจ เพราะจะเบื่อหน่ายง่าย เป็นคนไม่ค่อยมีความพยายามและอดทน จะสนใจอะไรเพียงวูบวาบเท่านั้นเอง
จับส่วนบนของปากกา-ดินสอ
คนที่จับปากกา-ดินสอ ไปทางด้านบนหรือปลายๆ ปากกา-ดินสอ นั้นเป็นคนที่มีความช่างฝันแต่ก็จะนิยมความเป็นจริงด้วย เช่นถ้าฝันหรือต้องการอะไรก็จะพยายามจนถึงที่สุดเพื่อจะให้ได้มา เป็นคนมีความมุ่งมั่นสูงอย่างไม่น่าเชื่อเพราะท่าทางจะเหมือนคนฉาบฉวย ไม่ใส่ใจในอะไรสักอย่างแต่ว่าจะไม่ใช่คนที่ลงมือทำอะไรเอง แล้วก็ยังเป็นคนมีอารมณ์ขัน โดยเฉพาะได้หัวเราะขบขันคนอื่น จะสุขใจเป็นพิเศษ

ชอบกัดปากกา-ดินสอ
คนที่เวลาจับปากกา-ดินสอ เขียนอะไรแล้วก็ชอบกัดฝาปากกา-ดินสอไปด้วยนั้น เป็นคนที่มีความหมกหมุ่นมาก หาความแน่นอนไม่ได้ ไม่เหมาะที่จะไปหวังอะไร มีนิสัยเปลี่ยนแปลงเร็ว แต่เข้ากับคนง่าย และมีความสนใจในเรื่องที่ไม่เคยรู้เคยเห็นสูงมาก เรียกว่า กระหายการเรียนรู้ในทุก ๆ เรื่อง ก็ไม่ผิด แต่ว่าจะไม่มีสมาธิอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งนานนัก จะเป็นลักษณะของความสนใจที่ฉาบฉวยอยู่สักหน่อย